วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2558

เรื่องสั้นสะท้อนสังคม

เรื่องสั้นสะท้อนสังคม
เรื่อง การตัดสินใจของ "สายรุ้ง"

                                                                                                                  โดย รัตนสุดา


               ฉันลืมตาขึ้นมาในห้องๆ หนึ่ง หลังจากที่เพ่งสายตามองดูแล้ว เห็นจะเป็นห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล สายน้ำเกลือจากหลังมือซ้ายของฉันเชื่อมโยงไปที่เสาน้ำเกลือที่อยู่ข้างเตียงฝั่งซ้าย และยังมีถุงเลือดที่หมดไปแล้วห้องอยู่ข้างๆ กัน ท้องน้อยของฉันยังคงสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด มันผ่านไปแล้วสินะ...ฝันร้ายของฉัน หลังจากนี้ไปฉันคงเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง
…………………………………………………..

               ฉันชื่อสายรุ้ง  เป็นนักศึกษาปีที่ 1 ของสถาบันที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ฉันเป็นเด็กสาวจากต่างจังหวัด ที่ได้เข้ามาเรียนต่อปริญญาตรีในเมืองหลวง ฉันมาจากครอบครัวฐานะปานกลาง และเนื่องจากผลการเรียนดี ความประพฤติเรียบร้อย ฉันจึงโชคดี ได้รับทุนให้เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีในสถาบันที่มีชื่อเสียง แห่งนี้

                   เมืองหลวงนั้นเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องมากมาย ถนนหนทางเต็มไปด้วยรถราขวักไขว่ ผู้คนมากมายแต่งตัวสวยงามดูแปลกหูแปลกตา ในแบบที่ฉันไม่ค่อยได้เห็นมาก่อนในชนบท  มีตึกสูงระฟ้า ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และร้านอาหารบรรยากาศดีมากมาย ซึ่งฉันเองก็ได้แต่หวังไว้ในใจว่า สักวันฉันคงจะได้มีโอกาสได้เข้าไปลิ้มรสอาหารดีๆ แพงๆ เหล่านั้นบ้าง

              ฉันใช้ชีวิตในเมืองหลวงอยู่ที่เช่าห้องพักเล็กๆ ราคาไม่แพงมากนัก และอยู่ไม่ไกลจากละแวกมหาวิทยาลัยเม่าใดนัก ชีวิตของฉันในแต่ละวันก็ดำเนินไปตามปกติเหมือนวัยรุ่นวัยเรียนทั่วๆไป คือ เช้าไปเรียน เย็นกลับห้อง ท่องเที่ยวในโลกอินเตอร์เน็ตบ้าง หรือในช่วงเวลาที่ว่างก็อาจมีไปเดินห้างสรรพสินค้า หรือดูหนังในวันหยุดกับเพื่อนๆ บ้าง

              อาจเป็นโชคชะตาของฉันที่ต้องเผชิญกับการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ ในวันหนึ่ง ฉันก็ได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งผ่านโลกออนไลน์ เราเริ่มต้นจากคุยกัน ในเฟสบุ๊ค เขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงซึ่งอยู่ในระแวกเดียวกันกับมหาวิทยาลัยของฉัน เขาเกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ ซึ่งนอกจากฐานะที่ดีจนฉันเทียบไม่ติดฝุ่นแล้ว เขายังจัดว่าเป็นผู้ชายที่รูปร่างหน้าตาดี และที่สำคัญเขายังเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมากอีกด้วย และด้วยความน่ารักของเขาก็ทำให้หัวใจของฉันรู้สึกหวั่นไหวไม่ใช่น้อย

               เราเริ่มคุยและติดต่อกันทุกวันจนเริ่มรู้สึกสนิทสนม ฉันเองก็เริ่มรู้สึกไว้ใจเค้า หลังจากนั้นระยะหนึ่งจากความสนิทสนมก็เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์มาเรื่องๆ จนมันกลายเป็นความรักไปในที่สุด และความสัมพันธ์นี่เองที่เป็นจุดเปลี่ยนให้กับชีวิตของฉัน

               โลกของฉันดูสดใสขึ้นเมื่อมีเขา เรามักจะนัดเจอกันในเวลาว่าง เขาพาฉันไปทุกๆ ที่ที่ฉันอยากจะไป เขาซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้ และพาไปกินอาหารในร้านหรูๆ เหมือนที่ฉันคือคาดฝัน ฉันรู้สึกซึ้งใจในความรักที่เขามอบให้ ทั้งซาบซึ้งในทุกๆ สิ่งที่เขาทำให้กับฉัน และฉันก็สามารถตอบตัวเองได้เต็มหัวใจ ว่าฉันรักชายคนนี้มากที่สุด

               ฉันยอมทำทุกอย่างเพื่อแสดงออกว่าฉันรักเขามากแค่ไหน ฉันยอมพลีแม้แต่ความสาวเพื่อแสดงออกว่าฉันนั้นรักเขามากมายเพียงใด และฉันก็ไม่เคยเฉลียวใจสักนิดว่าสุดท้ายแล้วความรักที่ฉันทุ่มเทหมดทั้งกายและใจจะทำให้ฉันต้องเจ็บปวดรวดร้าว...เจ็บปวดเจียนจะตาย

               แล้วฝันร้ายของฉันก็ได้บังเกิดขึ้น เมื่อย่างเข้าสู่กลางเทอมของภาคเรียนที่สอง ฉันเริ่มมีอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และที่สำคัญกว่านั้นคือประจำเดือนฉันไม่มาเดือนเศษแล้ว ฉันเริ่มรู้สึกได้ถึงความมืดมนที่กำลังเกาะกินหัวใจ ฉันเริ่มภาวนากับตัวเองว่าอย่าให้เป็นอย่างที่ฉันคิดเลย

                    ฉันมีอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ และอาเจียนหนักขึ้นมาก จนเพื่อนต้องพาฉันไปหาหมอที่โรงพยาบาล และเมื่อหมอได้ตรวจร่างกายโดยละเอียดแล้ว คุณหมอก็ได้แจ้งผลการตรวจให้ฉันทราบ และผลการตรวจนี่เองที่ทำให้ฉันแทบล้มทั้งยืน เพราะคุณหมอแจ้งว่าฉันกำลังตั้งท้อง

               หลังจากกลับจากโรงพยาบาลฉันก็ไม่เป็นอันทำอะไร ตอนนี้ร่างกายของฉันมีชีวิตแต่ก็เปรียบเสมือนไร้วิญญาณ จิตใจของฉันเหม่อลอย เฝ้าครุ่นคิดหาทางออกให้กับชีวิต “ฉันควรทำอย่างไร” ประโยคนี้ยังวนเวียนอยู่ภายในจิตใจของฉัน

               ครอบครัวจะรู้สึกอย่างไร จะผิดหวังในตัวฉันมากแค่ไหนถ้ารู้ว่าฉันท้อง แล้วถ้าทางมหาลัยรู้ว่าฉันท้องก็คงจะตัดทุนการศึกษาของฉันในที่สุด และเมื่อถึงเวลานั้นฉันก็คงต้องหยุดพักการเรียนในสิ่งที่ฉันรักเพื่อรับผิดชอบต่อการกระทำที่ฉันได้ทำไป ฉันเสียใจกับการกระทำครั้งนี้ แต่อย่างน้อยแสงสว่างในชีวิตของฉันก็เหมือนจะไม่ได้ดับวูบลงไปทั้งหมด เพราะอย่างน้อยฉันก็ยังมีเขา “ชายที่ฉันรัก” เรากำลังจะลูกด้วยกันแล้ว จากนี้ไปเราทั้งสองก็จะมีพยานรักที่บ่งบอกว่าเรานั้นรักกันมากแค่ไหน

               ฉันโทรไปเขาและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เขาได้รับรู้ แต่สิ่งที่ฉันได้รับจากเขานั้นมันทำให้ฉันหัวใจแทบสลาย เพราะที่ฉันได้รับคือคำถามที่ว่า ใช่ลูกของเขารึเปล่า?  และอีกหนึ่งคำพูดที่ฉันแสนสะเทือนใจก็คือเขาก็ไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบฉันกับลูก เขาให้เหตุผลว่าเขายังต้องเรียนหนังสือต่อยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตใครต่อใคร เพราะทุกวันนี้เขายังต้องพึ่งเงินพ่อแม่อยู่  แต่สิ่งที่ทำให้ฉันสะเทือนใจมากที่สุดคือทางออกที่เขาหยิบยื่นให้ ซึ่งเขาบอกว่า “ไปเอาเด็กออกซะ เดี๋ยวฉันจะโอนเงินให้เธอไปจัดการ...”  

               สิ้นประโยคนั้นเขาก็วางสายไป น้ำตาฉันไหลพราก สับสน คิดไม่ตกว่าจะจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไร ความรู้สึกของฉันตอนนี้เหมือนกำลังค่อยๆ จมลงไปในก้นเหวที่ลึกที่สุด ฉันควรจะทำอย่างไรดี พ่อแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดจะรู้สึกเสียใจแค่ไหน ที่ลูกซึ่งเป็นความหวังเดียวของพวกท่านกลับทำตัวแบบนี้ มิหนำซ้ำอนาคตที่ดีของฉันก็จะต้องดับวูบลงไป เพราะทางมหาลัยคงไม่ปล่อยให้คนที่มีประวัติด่างพร้อยอย่างฉันได้รับทุนเรียนต่อไปเป็นแน่ แต่ถ้าฉันเลือกที่จะทำแท้ง จริงอยู่หรอกว่าฉันก็จะสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้โดยปกติ แต่นั่นก็เท่ากับฉันได้ทำลายชีวิตผู้บริสุทธิ์อีกหนึ่งชีวิตซึ่งฉันก็คงไม่ต่างอะไรกับฆาตรกรเลือดเย็น เพราะฆ่าได้แม้กระทั่งเลือดเนื้อที่ตนเองได้สร้างขึ้น

               ฉันสับสนกับชีวิตฉันเหลือเกิน ฉันจะทำยังไงกับชีวิตฉันตอนนี้ดี และในที่สุดฉันก็ได้คำตอบให้กับตัวเองว่าในเมื่ออีกหนึ่งชีวิตที่จะเกิดมาเป็นชีวิตที่แม้แต่ผู้ให้กำเนิดยังไม่ต้องการ ฉันก็ไม่ควรดื้อดึงที่จะเก็บเด็กคนนี้ไว้ ฉันควรทำลายเขาไปเสีย เพราะถึงฉันดื้อดึงให้เขาเกิดมาฉันก็คงดูแลเขาให้ดีที่สุดไม่ได้ แล้วสุดท้ายมันก็คงไม่ต่างอะไรกับการที่ฉันฆ่าเขาทั้งเป็น

               ฉันได้ปรึกษาเพื่อนของฉันคนหนึ่ง ซึ่งเธอเองก็สารภาพกับฉันว่าเธอเองก็เคยไปทำแท้งมาแล้วที่ คลินิกเถื่อนแห่งหนึ่ง ด้วยชะตากรรมที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากฉันเท่าไรนัก เพื่อนแนะนำฉันว่าถ้าท้องอ่อนๆ ยังไม่หลายเดือนแบบฉัน ราคาก็ยังไม่แพงเท่าไหร่ แต่ถ้าปล่อยไว้หลายเดือนๆ ก็จะราคาแพงขึ้นตามลำดับ

              วันรุ่งขึ้นฉันก็ตัดสินใจไปคลินิกกับเพื่อน มันเป็นคลินิกที่ติดป้ายบังหน้าว่า “สูตินรีแพทย์” ฉันเดินเข้าไปด้านหลังของคลีนิก  มันมีลักษณะเป็นห้องเล็กๆ เปิดแอร์เย็นเฉียบ ฉันมองไปรอบๆ ห้อง เห็นเครื่องมือและมีเตียงคนไข้ 1 เตียง แต่เตียงที่เห็นนี้ดูต่างออกไปกับเตียงคนไข้ที่ฉันเห็นตามโรงพยาบาลทั่วไป มันเป็นเตียงที่มีลักษณะเป็นขาหยั่งอยู่บริเวณหัวเข่าสองข้าง ซึ่งดูแล้วก็น่าจะเป็นเตียงซึ่งมีไว้สำหรับทำคลอด

               ผู้หญิงคนที่อ้างตัวว่าเป็นหมอบอกฉันว่า ให้ฉันถอดกางเกงที่ใส่มา เปลี่ยนเป็นผ้าถุงที่เขาเตรียมไว้ให้แทนและกำชับว่าไม่ให้ใส่กางเกงใน  แล้วหลังจากนั้นก็บอกให้ฉันขึ้นไปนั่งที่เตียงนั้น และถามฉันว่า “พอจะจำได้ไหมว่าไม่เป็นประจำเดือนมากี่เดือนแล้ว”  ฉันจึงตอบไปว่า ประมาณ 45 วัน และเขาก็แจ้งฉันว่า “หมอคิดค่าทำแท้ง  ของหนูเดือนครึ่ง ราคาก็ 4000 บาท” และฉันก็พยักหน้าเพื่อเป็นการตอบตกลง

               จากนั้นคนที่เป็นหมอก็บอกฉันว่า ให้ฉันนอนยกขาขึ้นมาพาดตรงขาหยั่งทั้งสองข้างของเตียง ฉันเริ่มรู้สึกกลัว มือและเท้าของฉันเริ่มเย็นขึ้นๆ ความอายมันหายไปหมด ทิ้งไว้แค่เพียงแต่ความกลัวเท่านั้น คงสิ้นสุดลงสักทีสำหรับฝันร้ายของฉัน อีกไม่กี่อึดใจฉันก็จะหลุดพ้นจากความทรมาน ลาก่อนลูกของแม่ สักวันเมื่อแม่พร้อมและมีครอบครัวที่อบอุ่น ขอให้เจ้ามาเกิดเป็นลูกของแม่อีกครั้งนะ...

               เพียงสิ้นความคิดอาลัย หมอคนเดิมก็ใส่สายยางเข้าไปในอวัยวะของฉัน จนฉันรู้สึกว่ามันเข้าไปถึงด้านในท้องน้อยของฉัน หลังจากนั้นหมอก็ปั๊มยาอะไรสักอย่างเข้าไป ฉันรู้สึกปวดที่ท้องอย่างแรงเมื่อยาเข้าไปถึงท้องน้อย ฉันรู้สึกถึงกลิ่นยาที่ปั๊มเข้าไป กลิ่นมันฉุนทรมานเหมือนมันจะทะลักออกมาทางปาก จากความรู้สึกมันคล้ายกลิ่นฟอร์มาลีนที่เค้าเอาไว้ฉีดศพเวลาคนตายอย่างไงอย่างงั้น  

               ฉันแทบไม่อยากจะคิดว่าเลยว่า นี่หมอเถื่อนฉีดฟอร์มาลีนเพื่อทำแท้งให้ฉันเหรอนี่ ฉันนิ่วหน้าเพราะรู้สึกปวดทรมานที่ท้องเป็นอย่างมาก  แล้วหลังจากนั้นไม่นานหมอก็ดึงสายยางออก และรีบดึงให้ฉันลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรต้องทำอย่างนั้น แต่มันทำให้ฉันคลายความปวดลงบ้างและสามารถลุกขึ้นเดินต่อได้

               หมอบอกกับฉันว่า “กลับบ้านได้ ถ้ากลับไปมีเลือดออกก็ไม่ต้องตกใจนะเพราะนั่นคือก้อนเลือดที่ทำแท้งมันออกมานั่นเอง”  ฉันจึงเดินออกมาจากห้องนั้น โดยที่มีเพื่อนนั่งรออยู่ด้านนอกของคลินิก ฉันรู้สึกปวดตุ๊บๆ ที่ท้อง แต่ก็ยังพอที่จะเดินต่อไหว แต่ถึงกระนั้นเพื่อนก็ยังทักฉันว่า “ทำไมเธอหน้าซีดเป็นไก่ต้มขนาดนี้” และบอกอีกว่าเดี๋ยวคืนนี้จะมาอยู่เป็นเพื่อนที่ห้องพัก

               ฉันกลับไปที่ห้องพัก โดยมีเพื่อนมานอนเป็นเพื่อนในคืนนี้ พอสักประมาณ 4 ทุ่ม ฉันก็รู้สึกปวดท้องหนักขึ้นอีกครั้ง ฉันเทียวเข้าออกห้องน้ำเป็นว่าเล่น และเลือดก็เริ่มไหลออกมาเรื่อยๆ เหมือนที่หมอเถื่อนบอก และหลุดออกมาเป็นก้อนๆ  ซึ่งเลือดก็ไหลออกมาเรื่อยๆ นั้นไม่มีวี่แววว่าจะหยุดลงเลย

               จนในที่สุดฉันก็เดินไปห้องน้ำไม่ไหวแล้ว ฉันนอนจมกองเลือดอยู่ตรงนั้น และหลังจากนั้นไม่นานสติสัมปชัญญะของฉันก็เริ่มดับวูบไป ซึ่งก่อนที่ฉันจะหมดสติไป สิ่งสุดท้ายที่ฉันรับรู้ได้ก็คือเสียงร้องเรียกของเพื่อนฉันนั่นเอง
             
               

ผลงานรอรวมเล่มค่ะ

รักษ์สุดา แพ่งตี่  : 6 เมษายน 2558

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น